IELTS

IELTS คืออะไร

         ชื่อย่อของระบบการวัดผลภาษาอังกฤษนานาชาติ (International English Language Testing System)ได้รับการออกแบบเพื่อใช้ประเมินความสามารถด้านภาษาของผู้สมัครสอบที่ต้องการเรียนหรือทำงานในสถานที่ที่ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร การสอบ IELTSใช้ประเมินความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษของผู้สมัคร สอบอย่างมีประสิทธิภาพใน 4 ทักษะได้แก่ การฟัง การอ่าน การเขียน และ การพูด รวมถึงความรู้ทางด้านไวยากรณและคำศัพท์ในการใช้ภาษา การสอบ IELTS ถือได้ว่าเป็นตัวสอบที่ใช้ประเมินความสามารถทางภาษาอังกฤษที่ได้มาตรฐานระดับนานาชาติสูงสุด ซึ่งครอบคลุมทักษะทางภาษาทั้ง 4 ทักษะไม่ว่าจะเป็น การฟัง การอ่าน การเขียน และการพูด IELTS ได้รับการยอมรับจากมหาวิทยาลัยและบริษัทต่างๆในหลายประเทศ เช่น ออสเตรเลีย แคนาดา นิวซีแลนด์ สหราชอาณาจักร และ สหรัฐอเมริกา

การสอบและรายละเอียดข้อสอบ IELTS
ข้อสอบแบ่งออกเป็น 2 ชุด ตามจุดประสงค์ที่จะนำไปใช้ ข้อสอบ 2 ชุดดังกล่าว คือ 

  1. Academic Module สำหรับผู้ที่ต้องการเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา หรือ สูงกว่า ในทุก ๆ สาขา
  2. General Training Module สำหรับผู้ที่ต้องการศึกษาต่อในระดับที่ต่ำกว่าปริญญาตรี ระดับ มัธยมศึกษา หลักสูตรระยะสั้น และหลักสูตรฝึกอบรม และวิชาชีพต่าง ๆ

ผู้สมัครควรจะต้องสอบถามโดยตรงกับทางสถาบันที่จะไปเรียนว่าจะรับผลสอบจากข้อสอบชุดไหน

การทดสอบ IELTS แบ่งออกเป็นสองช่วง ช่วงเช้าสอบข้อเขียน ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง ทดสอบการฟัง 30 นาที การอ่าน 1 ชั่วโมง การเขียน 1 ชั่วโมง ช่วงบ่าย สอบสัมภาษณ์การพูดรายบุคคล ใช้เวลา คนละ ประมาณ 15 นาที

รายละเอียดสำหรับการสอบในทักษะต่างๆ เป็นดังนี้

Listening
        การสอบฟังนั้น IELTS ใช้เวลา 30 นาที โดยมีคำถามทั้งหมด 40ข้อ และมีด้วยกัน 4 ส่วน สองส่วนแรกนั้นจะเป็นเรื่องในชีวิตประจำวันจะเป็นการสนทนาระหว่างคนสองคน หลังจากนั้นก็จะเป็นคนพูดเพียงคนเดียว ตัวอย่างเช่น สนทนาเรื่องการวางแผนไปเที่ยว หรือ ตัดสินใจว่าจะไปไหนดีคืนนี้ และมี การพูดเกี่ยวกับการให้บริการแก่นักเรียนในมหาวิทยาลัย สองส่วนหลังจะฟังเกี่ยวกับสถานการณ์จำลอง โดยจะมีเนื้อหาหนักไปทางการศึกษาโดยจะมีบทสนทนากันระหว่างกลุ่มคนไม่เกินสี่คน หลังจากนั้นก็จะเป็น การฟังคนพูดเพียงคนเดียว ตัวอย่างหัวข้อที่จะพูด อาจเป็นการสนทนาระหว่างอาจารย์และนักเรียนเกี่ยวกับการบ้านหรือ อาจจะเป็นการคุยกันในกลุ่มนักเรียน สองสามคน ปรึกษากันเรื่องหัวข้อทำวิจัย และเลคเชอร์ หรือ การพูดแนววิชาการ ในการสอบ IELTS ไม่มีผู้สอบคนใดได้เปรียบเสียเปรียบ ทั้งนี้เพราะว่า หัวข้อที่นำมาใช้ในการสอบนั้นจะเป็นหัวข้อทั่วไปไม่เน้นไปในวิชาใดวิชาหนึ่ง ความยากจะค่อยๆเพิ่มขึ้นเรื่อยในแต่ละส่วน สำเนียงภาษาอังกฤษที่ใช้ในการ สอบนั้น จะมีหลากหลายด้วยกัน รวมทั้งสำเนียงท้องถิ่นการสอบฟังนั้นจะมีการเปิดให้ฟังเพียงรอบเดียวเท่านั้นขณะที่ฟังผู้เข้าสอบต้องอ่านคำถามและเติมคำตอบในกระดาษคำถามไปพร้อมๆกัน เมื่อฟังเทปเสร็จเรียบร้อย จะมีเวลาให้ นำย้ายคำตอบจากในกระดาษมาเขียนลงในกระดาษคำตอบ

Reading: Academic Reading
        มีคำถามทั้งสิ้น40คำถามให้ทำในเวลา60นาทีโดยจะมีเรื่องสั้นๆให้อ่าน3เรื่องด้วยกันความยาวโดยรวมประมาณสองพันถึง2,750คำ เนื้อหานั้นจะมาจาก นิตยสารวารสาร หนังสือ และ หนังสือพิมพ์ และมีเนื้อหาเหมาะสำหรับบุคคลทั่วไปในจำนวนนี้ จะมีอย่างน้อยหนึ่งเรื่องที่เกี่ยวกับ การแสดงความเห็น และอาจจะมีไดอะแกรม กราฟ หรือ ภาพประกอบเรื่องนั้นๆ ถ้าหากเรื่องไหนมีศัพท์เทคนิคปะปนอยู่ก็จะมีคำอธิบายไว้ให้ ข้อสอบIELTS จะเพิ่มความยากขึ้นเรื่อยๆ คำถามบางคำถามอาจจะถามก่อนอ่านเนื้อเรื่อง บางคำถามก็ถามหลังเนื้อเรื่อง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะของคำถามนั้นๆ คำถามข้อละหนึ่งคะแนนและผู้สอบควรตรวจสอบให้รอบคอบในการเขียนคำตอบลงในกระดาษคำตอบว่าสะกดได้ถูกหรือไม่ และ ถูกหลักไวยากรณ์หรือไม่ เพราะหากไม่ถูกจะมีการหักคะแนน

Reading: General Training 
      เนื้อหาในการอ่านนั้นจะนำมาจากประกาศ โฆษณา หนังสือราชการ คู่มือ แผ่นพับ หนังสือพิมพ์ ตารางเวลา หนังสือ หรือ นิตยสาร โดย ส่วนแรกนั้นจะเป็นเรื่อง สังคม ทั่วไป ภาษาที่เข้าใจง่ายแล้วจะค่อยเพิ่มความยาก ในส่วนของเนื้อหาและการใช้ภาษาขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเริ่มขึ้นส่วนที่สอง สาม สี่

Writing: Academic Writing
        มีเวลาในการเขียนหกสิบนาที และมีสองหัวข้อที่ต้องทำ ควรใช้เวลาในส่วนแรกประมาณยี่สิบนาที และเขียนอย่างน้อยร้อยห้าสิบคำ ส่วนที่สองนั้นควรใช้เวลาประมาณสี่สิบนาที และเขียนอย่างน้อยสองร้อยห้าสิบคำ ในส่วนแรกนั้น ผู้เข้าสอบ "IELTS" จะต้องเขียนอธิบาย เกี่ยวกับ ไดอะแกรม หรือ ตาราง ที่มีไว้ให้การทดสอบส่วนนี้เพื่อที่จะวัดความสามารถในการจัดข้อมูล และการเปรียบเทียบข้อมูลและความสามารถในการอธิบายขั้นตอนต่างๆ รวมถึงการจัดลำดับเหตุการณ์ก่อนหลัง และอธิบายการทำงานของสิ่งต่างๆ
ในส่วนที่สองนั้น จะเป็นการแสดงความคิดเห็น ในประเด็นต่างๆที่กำหนดให้ ทั้งนี้เพื่อวัดความสามารถ ในการแก้ปัญหา และสามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างสมเหตุสมผล สามารถเปรียบเทียบและชี้ข้อแตกต่างของเหตุการณ์ ความเห็น หัวข้อที่นำมาให้เขียนนั้นง่ายต่อการเข้าใจ ทั้งสำหรับนักศึกษาระดับปริญญาตรี หรือ กำลังจะเรียนต่อในระดับสูงกว่า

Writing: General Training 

 
     ในส่วนแรกจะได้ คำถามที่มีลักษณะเป็นจดหมายที่เขียนขอข้อมูล หรือ อธิบายสถานการณ์ และให้ เราเขียนตอบ ทั้งนี้เพื่อวัดความสามารถในการสื่อสารโต้ตอบระหว่างบุคคลและแสดงความรู้สึกว่า ชอบหรือไม่ชอบ ความต้องการ และแสดงความคิดเห็นได้
     ในส่วนที่สองนั้นผู้สอบ " IELTS" ต้องแสดงทัศนะ หรือ ไม่ก็ให้ อภิปรายโต้แย้ง หรือ แสดงปัญหา ในหัวข้อที่ให้ไว้ ทั้งนี้เพื่อวัดความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูล การวางโครงร่างของปัญหาและเสนอแนะแนวทางแก้ปัญหา เสนอและชั่งน้ำหนักของความคิดเห็น บทความ หรือ ทฤษฎีต่างๆ ว่าน่าเชื่อถือมากน้อยขนาดไหน

Writing ทั้งสองแบบการให้คะแนนก็จะให้น้ำหนักของส่วนที่สองมากกว่าส่วนที่หนึ่ง และหากเขียนต่ำกว่า จำนวนน้อยที่สุดที่กำหนดไว้ จะถูกหักคะแนน


การให้คะแนน IELTS ส่วนที่หนึ่งนั้นจะให้จาก

  • Task Fulfillment
  • Coherence
  • Cohesion
  • Vocabulary
  • Sentence Structure

การให้คะแนน IELTS ส่วนที่สองนั้นจะให้จาก

  • Arguments
  • Ideas
  • Evidence
  • Communicative Quality
  • Vocabulary
  • Sentence Structure

Speaking
การสอบพูด จะเป็นการสัมภาษณ์ระหว่างผู้เข้าสอบและเจ้าหน้าที่เป็นการทดสอบความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร การสัมภาษณ์จะมีการบันทึกไว้ด้วยเทปบันทึกเสียง การสอบสัมภาษณ์IELTS นั้นจะแบ่งออกเป็นสามส่วนด้วยกัน

  • ส่วนที่หนึ่ง ผู้เข้าสอบIELTS จะตอบคำถามทั่วไปเกี่ยวกับตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น เรื่อง บ้าน ครอบครัว การงาน การเรียน ความสนใจ ซึ่งจะเป็นเรื่องใกล้ตัวเรา ซึ่งจะใช้เวลาประมาณสี่ถึงห้านาที
  • ส่วนที่สอง ผู้เข้าสอบIELTS จะต้องพูดตามหัวข้อที่ได้รับในการ์ด โดยจะมีเวลาเตรียมตัว หนึ่งนาที และพูดประมาณสองนาที จากนั้นเจ้าหน้าที่จะถามคำถามหนึ่งหรือสองคำถามเกี่ยวกับเรื่องที่เราพูด
  • ส่วนที่สาม ก็จะเป็นการถกปัญหากันระหว่างเจ้าหน้าที่และผู้เข้าสอบ IELTS หัวข้อนั้นก็จะเกี่ยวๆ กับที่ได้รับในส่วนที่สอง ซึ่งจะใช้เวลาประมาณสี่ถึงห้านาที

ผลคะแนน IELTS

การให้คะแนนทักษะ ทั้งสี่แยกจากกัน (การฟัง การอ่าน การเขียน และ การพูด) จึงสามารถวัดผลแต่ละทักษะได้ชัดเจน แม่นยำ และ ถูกต้องตรงกับระดับ ความสามารถ ในการใช้ ภาษาที่แท้จริงของผู้สอบ ผลสอบIELTS จะออกมาหลังการสอบประมาณ 2 สัปดาห์ รับผลสอบได้ตั้งแต่เวลา บ่ายโมงตรง โดยผู้รับต้องนำบัตรประจำตัวหรือ หลักฐานแสดงว่าเป็นผู้เข้าสอบ เพื่อขอรับผลสอบ สำหรับผู้ที่ต้องการผลสอบด่วนพิเศษภายในสามวัน ให้แจ้งแก่ศูนย์สอบล่วงหน้าสิบสี่วัน พร้อมจ่ายค่าธรรมเนียมสามร้อยบาท ผลสอบนั้นสามารถเก็บผลสอบไว้ได้ 2 ปี ในใบรายงานผล จะระบุคะแนนความสามารถทั้ง 4 ทักษะและ คะแนนเฉลี่ย

โดยแบ่งคะแนนออกเป็น 9 ระดับจากสูงไปต่ำ ดังต่อไปนี้

IELTS ระดับ 9

หมายถึงผู้สอบมีระดับการใช้ภาษาอังกฤษ ดีเลิศ สามารถใช้ภาษาได้อย่าง คล่องแคล่ว ถูกต้องแม่นยำ มีความเข้าใจภาษาดีเยี่ยม ใกล้เคียงเจ้าของภาษา 
 

IELTS ระดับ 8 

หมายถึงผู้สอบมีระดับการใช้ภาษาอังกฤษ ดีมาก สามารถใช้ภาษาได้อย่าง คล่องแคล่ว ถูกต้อง ความผิดพลาด และความไม่เหมาะสม เกิดขึ้นเพียงเล็กน้อย 
 

IELTS ระดับ 7 

หมายถึงผู้สอบมีระดับการใช้ภาษาอังกฤษดี แต่ยังมีความผิดพลาด และเข้าใจผิดบางโอกาส ใช้ภาษาในลักษณะซับซ้อนได้ดี 
 

IELTS ระดับ 6

หมายถึงผู้สอบมีระดับการใช้ภาษาอังกฤษ ใช้งานได้ สามารถสื่อสาร และเข้าใจ ภาษาอังกฤษ สามารถใช้ภาษา ในลักษณะซับซ้อนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสถานการณ์ที่คุ้นเคย 
 

IELTS ระดับ 5 

หมายถึงผู้สอบมีระดับการใช้ภาษาอังกฤษ ปานกลาง สามารถสื่อสารได้ ในระดับพื้นฐาน แต่ยังใช้ภาษาผิดบ่อยๆ 
 

IELTS ระดับ 4 

หมายถึงผู้สอบมีระดับการใช้ภาษาอังกฤษจำกัด สามารถใช้ภาษา ในลักษณะสถานการณ์ที่คุ้นเคยเท่านั้น
 

IELTSระดับ 3 

หมายถึงผู้สอบมีระดับการใช้ภาษาอังกฤษ จำกัดมาก รู้ความหมายกว้าง ๆ และเฉพาะคำที่คุ้นเคยเท่านั้น 
 

IELTS ระดับ 2 

หมายถึงผู้สอบมีระดับการใช้ภาษาอังกฤษอยู่ในขั้น คำพื้นฐาน ไม่สามารถสื่อสารได้ พูดได้เป็นคำๆเท่านั้น
 

IELTS ระดับ 1 

หมายถึงผู้สอบเป็นผู้ที่ไม่รู้ภาษาอังกฤษ ใช้ภาษา ไม่ได้เลย

การสมัครสอบ และสถานที่สอบ IELTS

ในประเทศไทยสามารถสอบได้จากศูนย์สอบ 2 แห่ง คือ British Council และ IDP สามารถดูรายละเอียดได้จากทางเว็บไซต์ของสองสถาบันนี้www.britishcouncil.org.th และ www.thailand.idp.com ทั้งสองที่มีการจัดสอบทุกเดือน

 

“ทางสถาบัน Bright up center by P’JENG มีเปิดสอนคอร์ส IELTS โดยนักเรียนที่มาเรียนสอบได้ถึง 98% ทุกรอบ” รายละเอียด...

 

Bright Up Center By P’Jeng โรงเรียนกวดวิชามงคลพัฒนา 

 

เราดูแล ใส่ใจน้องๆทุกคน ดุจดังบุตรหลาน และน้องๆของเราเอง

 

ราคาไม่แพง..คุณภาพเยี่ยม ต้องที่ Bright up Center By P’ Jeng

 

                 เรียนจริง....ได้ผลจริง   

 

ห้องเรียนของเรากว้างขวาง เนื้อที่ของเรามีมากกว่า 1 ไร่ครึ่ง

 

น้องๆสามารถเลือกเรียนได้ทั้ง Course เรียนกลุ่ม – เดี่ยว นะค่ะ ราคาพิเศษ เลือกวันเวลาเรียนได้

 

น้องๆคนไหนสนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่